
เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยของ การเทรด CFD ทองคำและเงิน.
เลเวอเรจ
คุณสามารถใช้ เลเวอเรจ เมื่อเทรดทองคำออนไลน์ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้คุณยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดของตำแหน่งการลงทุนของคุณ
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเลเวอเรจ 50 เท่า คุณจะควบคุมได้ $50 สำหรับทุก ๆ $1 ที่คุณลงทุนในตำแหน่งทองคำของคุณ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ XAU/USD) เลเวอเรจมีความสำคัญเพราะช่วยให้คุณเปิดตำแหน่งขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนที่จำกัด แต่ก็ทำให้คุณเสี่ยงต่อการขาดทุนที่มากขึ้น ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
โบรกเกอร์มักจะระบุเลเวอเรจในรูปแบบอัตราส่วน ตัวอย่างเช่น ที่ TMGM เราให้เลเวอเรจสูงสุดถึง 400:1 สำหรับทองคำ และ 100:1 สำหรับเงิน คุณไม่จำเป็นต้องใช้เลเวอเรจเต็มจำนวนในแต่ละการเทรด แต่คุณจะเห็นได้ว่าฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มขนาดตำแหน่งของคุณได้อย่างมาก
สเปรดบิด/อาส
เช่นเดียวกับ เครื่องมือการเทรด CFD ทองคำจะมีราคาซื้อและราคาขายที่แตกต่างกันเล็กน้อย ช่องว่างนี้เรียกว่าสเปรดบิด/อาส ซึ่งถือเป็นต้นทุนในการเทรดและควรจะมีความแคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ที่ TMGM เราใช้ระบบรวบรวมข้อมูลเฉพาะเพื่อให้มั่นใจว่าสเปรดที่แคบที่สุดสำหรับ CFD ทุกประเภทของเรา รวมถึงทองคำและเงิน เครื่องมือนี้ช่วยลดต้นทุนการเทรด สเปรดของเราสามารถต่ำถึง 0 จุด (pips)
ในขณะเดียวกัน เรายังโปร่งใสเกี่ยวกับราคา คุณสามารถดูสเปรดของแต่ละสัญญา ทำให้คุณสามารถนำต้นทุนนี้ไปพิจารณาในการตัดสินใจเทรดของคุณ
คุณควรมีเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อช่วยในการตัดสินใจเทรด CFD ทองคำอย่างมีข้อมูล
การเทรดโลหะมีค่า มีความโดดเด่นตรงที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างก็มีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานสำหรับการเทรดทองคำเกี่ยวข้องกับการดูข้อมูลเศรษฐกิจหรือการติดตามข่าวสารที่อาจบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจหลัก การประกาศอัตราดอกเบี้ย รายงาน GDP ของเศรษฐกิจหลัก และภัยธรรมชาติต่าง ๆ สามารถส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเทรดทองคำและเงิน
คุณยังสามารถดูข้อมูลที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เช่น รายงานจากบริษัทเหมืองทองคำ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเกี่ยวข้องกับการดูพฤติกรรมราคาหรืออินดิเคเตอร์ของทองคำ เทรดเดอร์ทางเทคนิคเชื่อว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทาน แรงขับเคลื่อนของตลาด และปัจจัยอื่น ๆ ที่แสดงผ่านกราฟและชาร์ตสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ เทรดเดอร์แบบสวิงและเดย์เทรดมักใช้เครื่องมือทางเทคนิค ขณะที่นักลงทุนระยะยาวมักพึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน