

การเทรดด้วยมาร์จิ้นคือการซื้อขายที่นักลงทุนใช้ Margin หรือเงินหลักประกันร่วมกับเงินที่กู้ยืมจากโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อและขนาดการเทรดให้ใหญ่กว่าทุนที่มีอยู่จริง นักลงทุนจะต้องฝากเงินเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าดีลทั้งหมดในบัญชีมาร์จิ้น ขณะที่โบรกเกอร์จัดหาเงินส่วนที่เหลือให้ แม้วิธีนี้จะช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทั้งกำไรและขาดทุนจะถูกขยายตามเลเวอเรจ ดังนั้น การเข้าใจว่า Margin คืออะไร ใช้อย่างไร และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนเริ่มเทรดด้วยมาร์จิ้น
“การเทรดมาร์จิ้น (Margin Trading)” คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการเทรด ทำให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะที่ใหญ่กว่าทุนจริงที่มีอยู่ได้ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อและโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงและขนาดการขาดทุนเช่นเดียวกัน
มาร์จิ้นมักถูกเชื่อมโยงกับการใช้ เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยขยายผลลัพธ์ของการเทรดทั้งด้านบวกและลบ แตกต่างจาก การเทรดสปอต (Spot Trading) ที่ต้องใช้เงินเต็มจำนวน และไม่สามารถขยายขนาดตำแหน่งได้มากเท่า Margin Trading
ด้วยการเทรดมาร์จิ้น นักลงทุนสามารถซื้อ/ขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ โดยใช้ทุนที่น้อยกว่าเดิม แต่เพิ่มพลังการเทรดได้มากขึ้น
มาร์จิ้นทำงานอย่างไร? (Initial Margin และ Maintenance Margin)
การเปิดสถานะด้วยมาร์จิ้นเกี่ยวข้องกับ “เงินประกัน” สองประเภท:
จำนวนเงินที่ต้องใช้เพื่อเปิดสถานะครั้งแรก เช่น การใช้เลเวอเรจ 1:50 หมายถึงใช้เงินเพียง 2% ของขนาดสัญญา
จำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องคงไว้ในบัญชี หากยอดลดลงต่ำกว่าเงื่อนไขนี้จะเกิด การเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)
เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทาง มูลค่าตำแหน่งจะลดลง และหากส่วนทุนในบัญชี (Equity) ต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์อาจ:
- แจ้งให้นักเทรดเติมเงินเพิ่ม
- หรือทำ Forced Liquidation (บังคับปิดสถานะ) เพื่อป้องกันยอดติดลบ

1) เพิ่มอำนาจการซื้อ–เปิดรับโอกาสมากขึ้น
Margin ช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมตำแหน่งขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีเงินทุนน้อย
ตัวอย่าง:
มาร์จิ้น 5% หมายถึงเงิน $1,000 สามารถเปิดตำแหน่งมูลค่า $20,000 ได้
โอกาสที่นักเทรดจะเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ จึงเพิ่มขึ้น เช่น มาร์จิ้นสำหรับคริปโตหรือดัชนี ที่มักมีความผันผวนเหมาะกับการทำกำไรระยะสั้น
2) ทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและตลาดลง (Long / Short)
มาร์จิ้นช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้จากสองทิศทาง:
Long (ซื้อก่อน) → กำไรเมื่อราคาขึ้น
Short (ขายก่อน) → กำไรเมื่อราคาลง
โดยเฉพาะในตลาดคริปโตและฟอเร็กซ์ การทำ Short เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากสำหรับป้องกันพอร์ตในภาวะตลาดขาลง
3) กระจายพอร์ตได้ดีขึ้น
การใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมช่วยให้นักเทรดลงทุนในหลายสินทรัพย์พร้อมกัน เช่น:
- ทองคำ (XAUUSD)
- ดัชนี
- ฟอเร็กซ์
- คริปโต
- หุ้น CFD
เป็นการเพิ่มการกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลระหว่างการเทรดระยะสั้นและระยะยาว
1) ความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility Risk)
เมื่อเลเวอเรจขยายกำไร → ก็จะขยายการขาดทุนด้วย
ภาวะตลาดผันผวนอาจทำให้ Stop Loss ถูกทริกเกอร์ง่ายขึ้นหรือราคาวิ่งสวนแรงจนเกิดยอดติดลบได้
2) ความเสี่ยงจากการเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)
หาก Equity ลดลงต่ำกว่า Maintenance Margin:
- โบรกเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น
- หากไม่เติมเงิน → โบรกเกอร์จะปิดสถานะทันที
ทำให้เสียการควบคุมราคาและทำให้ขาดทุนหนักโดยไม่ทันตั้งตัว
3) ต้นทุนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
การยืมเงินมาเทรดทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียม เช่น:
- อัตราดอกเบี้ยมาร์จิ้น
- ค่าธรรมเนียม Funding / Swap รายวัน
- ค่าคอมมิชชั่น (ในสินทรัพย์บางประเภท)
ผู้เทรดต้องคำนวณต้นทุนเหล่านี้เพื่อประเมินกำไรสุทธิที่แท้จริง
เลเวอเรจสูง = ความเสี่ยงสูง
เหมาะสำหรับมือใหม่คือ 1:10 หรือ 1:20
เพิ่มศักยภาพการเทรดมาร์จิ้นของคุณกับ TMGM
TMGM ช่วยให้การเทรดมาร์จิ้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย:
- เลเวอเรจสูงสุดถึง 1:1000
- สเปรดเริ่มต้น 0.0 pips
- เครื่องมือบริหารความเสี่ยงขั้นสูง เช่น Stop Loss / Trailing Stop
- ศูนย์ความรู้สำหรับนักเทรด: บทความ, เว็บบินาร์, Trading Academy
- บัญชีทดลอง $100,000 เพื่อฝึกเทรดก่อนใช้เงินจริง
พร้อมหรือยังที่จะยกระดับการเทรดมาร์จิ้นของคุณ? เปิดบัญชี TMGM
เทรดฉลาด เทรดอย่างมั่นใจ — เทรดกับ TMGM





