บทความ

Margin คืออะไร? ทำความเข้าใจการเทรดด้วยมาร์จิ้นอย่างถูกต้อง

การเทรดด้วยมาร์จิ้นคือการซื้อขายที่นักลงทุนใช้ Margin หรือเงินหลักประกันร่วมกับเงินที่กู้ยืมจากโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อและขนาดการเทรดให้ใหญ่กว่าทุนที่มีอยู่จริง นักลงทุนจะต้องฝากเงินเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าดีลทั้งหมดในบัญชีมาร์จิ้น ขณะที่โบรกเกอร์จัดหาเงินส่วนที่เหลือให้ แม้วิธีนี้จะช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทั้งกำไรและขาดทุนจะถูกขยายตามเลเวอเรจ ดังนั้น การเข้าใจว่า Margin คืออะไร ใช้อย่างไร และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนเริ่มเทรดด้วยมาร์จิ้น

มาร์จิ้นคืออะไร?

“การเทรดมาร์จิ้น (Margin Trading)” คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการเทรด ทำให้นักเทรดสามารถเปิดสถานะที่ใหญ่กว่าทุนจริงที่มีอยู่ได้ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มอำนาจการซื้อและโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงและขนาดการขาดทุนเช่นเดียวกัน


มาร์จิ้นมักถูกเชื่อมโยงกับการใช้ เลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยขยายผลลัพธ์ของการเทรดทั้งด้านบวกและลบ แตกต่างจาก การเทรดสปอต (Spot Trading) ที่ต้องใช้เงินเต็มจำนวน และไม่สามารถขยายขนาดตำแหน่งได้มากเท่า Margin Trading


ด้วยการเทรดมาร์จิ้น นักลงทุนสามารถซื้อ/ขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น คริปโตเคอร์เรนซี ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ โดยใช้ทุนที่น้อยกว่าเดิม แต่เพิ่มพลังการเทรดได้มากขึ้น  

 

มาร์จิ้นทำงานอย่างไร? (Initial Margin และ Maintenance Margin) 

การเปิดสถานะด้วยมาร์จิ้นเกี่ยวข้องกับ “เงินประกัน” สองประเภท:

 

1) Initial Margin — มาร์จิ้นเริ่มต้น

จำนวนเงินที่ต้องใช้เพื่อเปิดสถานะครั้งแรก เช่น การใช้เลเวอเรจ 1:50 หมายถึงใช้เงินเพียง 2% ของขนาดสัญญา


2) Maintenance Margin — มาร์จิ้นรักษาบัญชี

จำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องคงไว้ในบัญชี หากยอดลดลงต่ำกว่าเงื่อนไขนี้จะเกิด การเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)


เมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนทาง มูลค่าตำแหน่งจะลดลง และหากส่วนทุนในบัญชี (Equity) ต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์อาจ:


  • - แจ้งให้นักเทรดเติมเงินเพิ่ม

  • - หรือทำ Forced Liquidation (บังคับปิดสถานะ) เพื่อป้องกันยอดติดลบ

 

ข้อดีของการเทรดมาร์จิ้น

ภาพแสดงคำว่า Buy และ Sell อธิบายหลักการเทรดด้วยมาร์จิ้น โดยชี้ให้เห็นว่าการยืมเงินช่วยขยายขนาดสถานะในการเทรด

1) เพิ่มอำนาจการซื้อ–เปิดรับโอกาสมากขึ้น

Margin ช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมตำแหน่งขนาดใหญ่ได้ แม้จะมีเงินทุนน้อย

ตัวอย่าง: 

มาร์จิ้น 5% หมายถึงเงิน $1,000 สามารถเปิดตำแหน่งมูลค่า $20,000 ได้


โอกาสที่นักเทรดจะเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ จึงเพิ่มขึ้น เช่น มาร์จิ้นสำหรับคริปโตหรือดัชนี ที่มักมีความผันผวนเหมาะกับการทำกำไรระยะสั้น


2) ทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและตลาดลง (Long / Short)

มาร์จิ้นช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้จากสองทิศทาง:


  • Long (ซื้อก่อน) → กำไรเมื่อราคาขึ้น

  • Short (ขายก่อน) → กำไรเมื่อราคาลง


โดยเฉพาะในตลาดคริปโตและฟอเร็กซ์ การทำ Short เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากสำหรับป้องกันพอร์ตในภาวะตลาดขาลง

 

3) กระจายพอร์ตได้ดีขึ้น

การใช้เลเวอเรจที่เหมาะสมช่วยให้นักเทรดลงทุนในหลายสินทรัพย์พร้อมกัน เช่น:


  • - ทองคำ (XAUUSD)

  • - ดัชนี

  • - ฟอเร็กซ์

  • - คริปโต

  • - หุ้น CFD


เป็นการเพิ่มการกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลระหว่างการเทรดระยะสั้นและระยะยาว

 

ความเสี่ยงของการเทรดมาร์จิ้น 

1) ความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility Risk) 

เมื่อเลเวอเรจขยายกำไร → ก็จะขยายการขาดทุนด้วย


ภาวะตลาดผันผวนอาจทำให้ Stop Loss ถูกทริกเกอร์ง่ายขึ้นหรือราคาวิ่งสวนแรงจนเกิดยอดติดลบได้

 

2) ความเสี่ยงจากการเรียกมาร์จิ้น (Margin Call)

หาก Equity ลดลงต่ำกว่า Maintenance Margin:


  • - โบรกเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น

  • - หากไม่เติมเงิน → โบรกเกอร์จะปิดสถานะทันที


ทำให้เสียการควบคุมราคาและทำให้ขาดทุนหนักโดยไม่ทันตั้งตัว

 

3) ต้นทุนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม

การยืมเงินมาเทรดทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียม เช่น:


  • - อัตราดอกเบี้ยมาร์จิ้น

  • - ค่าธรรมเนียม Funding / Swap รายวัน

  • - ค่าคอมมิชชั่น (ในสินทรัพย์บางประเภท)


ผู้เทรดต้องคำนวณต้นทุนเหล่านี้เพื่อประเมินกำไรสุทธิที่แท้จริง

 

เคล็ดลับในการบริหารความเสี่ยงของการเทรดมาร์จิ้น 

ภาพคำว่า Risk Management แสดงระดับมาร์จิ้นคอลใน CFD เพื่ออธิบายเกณฑ์ความเสี่ยงและจุดที่บัญชีเข้าใกล้มาร์จิ้นคอล

  1. ศึกษาตลาดและตัวชี้วัด เช่น MACDRSI
    เรียนรู้การวิเคราะห์เทคนิคและพื้นฐานก่อนเริ่มเทรด 
  1. ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง 
    กำหนด Risk per Trade เช่น 1–2% ของพอร์ต
  1. ใช้ Stop Loss และ Trailing Stop 
    ช่วยจำกัดการขาดทุนและปกป้องกำไร
  2. ติดตามสถานะอย่างใกล้ชิด
    ตรวจสอบระดับมาร์จิ้นและกราฟราคาอย่างสม่ำเสมอ
  3. เก็บเงินไว้เสริมมาร์จิ้น
    กันความผันผวนกะทันหันที่อาจทำให้โดนบังคับปิดสถานะ
  4. อย่าใช้เลเวอเรจสูงเกินไป

    เลเวอเรจสูง = ความเสี่ยงสูง

    เหมาะสำหรับมือใหม่คือ 1:10 หรือ 1:20

 

เพิ่มศักยภาพการเทรดมาร์จิ้นของคุณกับ TMGM

TMGM ช่วยให้การเทรดมาร์จิ้นเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย:

  • - เลเวอเรจสูงสุดถึง 1:1000

  • - สเปรดเริ่มต้น 0.0 pips

  • - แพลตฟอร์ม MT4 / MT5 ที่รวดเร็ว <30ms

  • - เครื่องมือบริหารความเสี่ยงขั้นสูง เช่น Stop Loss / Trailing Stop

  • - ศูนย์ความรู้สำหรับนักเทรด: บทความ, เว็บบินาร์, Trading Academy

  • - บัญชีทดลอง $100,000 เพื่อฝึกเทรดก่อนใช้เงินจริง


พร้อมหรือยังที่จะยกระดับการเทรดมาร์จิ้นของคุณ? เปิดบัญชี TMGM


เทรดฉลาด เทรดอย่างมั่นใจ — เทรดกับ TMGM

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาร์จิ้น

มาร์จิ้นในการเทรดคืออะไร?

+

บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) คืออะไร?

+

มาร์จิ้นคอล (Margin Call) คืออะไร?

+

คำนวณมาร์จิ้นอย่างไร?

+

การเทรดด้วยมาร์จิ้นทำกำไรได้หรือไม่?

+
TMGM
Trade The World
TMGM เป็นผู้ให้บริการทางการเงินระดับโลกที่ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวด มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การซื้อขายที่ราบรื่น ผ่านแพลตฟอร์มเว็บและมือถือที่ใช้งานง่ายของ TMGM นักเทรดสามารถเข้าถึงตลาดระหว่างประเทศและมีส่วนร่วมกับเครื่องมือที่หลากหลาย รวมถึงฟอเร็กซ์ ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ โลหะมีค่า พลังงาน และสกุลเงินดิจิทัล
เข้าร่วมกับลูกค้ามากกว่า 1,000,000 คนบนแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับรางวัลของเรา
1
สมัครบัญชีจริง
2
ฝากเงิน
เข้าบัญชี
3
เริ่มเทรด
ได้ทันที
เปิดบัญชี