

ตลาด Forex เป็นตลาดซื้อขายสกุลเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผู้เริ่มต้นสามารถเข้าถึงได้ง่าย แต่ก่อนจะเริ่มเทรด สิ่งที่ต้องรู้คือโครงสร้างตลาด คู่สกุลเงิน พิป เลเวอเรจ มาร์จิ้น รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บทความนี้จะช่วยปูพื้นฐานทั้งหมดให้เข้าใจในเวลาไม่นาน เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นอย่างถูกต้อง
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ผู้คนจากทั่วโลกเข้าซื้อขายค่าเงินเพื่อบริหารความเสี่ยง เก็งกำไร หรือปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน ตลาดนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และผู้มีประสบการณ์ที่ต้องการโอกาสจากความผันผวนของคู่สกุลเงินต่าง ๆ
การเริ่มต้นซื้อขายในตลาดนี้อย่างมั่นใจจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานสำคัญ เช่น ประเภทของคู่เงิน หน่วยวัดการเคลื่อนไหวราคา สเปรด ต้นทุนการเทรด เลเวอเรจ มาร์จิ้น รวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จะอธิบายแนวคิดทั้งหมดเป็นลำดับขั้น ช่วยให้ผู้เริ่มต้นเข้าใจภาพรวมของตลาดได้อย่างเป็นระบบ และเตรียมพร้อมก่อนลงมือเทรดจริง
การเทรด Forex คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยคุณจะ “ซื้อสกุลเงินหนึ่ง” และ “ขายอีกสกุลเงินหนึ่ง” พร้อมกันเสมอ
ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ คุณอาจเปิดสถานะซื้อ (Buy) ในคู่สกุลเงิน EUR/USD และเมื่อราคาขยับขึ้นตามที่คาด คุณก็สามารถปิดออเดอร์เพื่อทำกำไรได้
การเทรดค่าเงินยังมาพร้อมคำศัพท์สำคัญที่มือใหม่ควรรู้ เช่น
- Pip (พิป) หน่วยการเปลี่ยนแปลงของราคา
- Lot (ล็อต) ขนาดของออเดอร์
- Spread (สเปรด) ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการเทรด
- Leverage (เลเวอเรจ) เครื่องมือที่ช่วยขยายขนาดการเทรด แม้ใช้เงินทุนเริ่มต้นน้อย แต่ก็ทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนขยายตัวมากขึ้นเช่นกัน
Forex (Foreign Exchange) คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักลงทุน สถาบันการเงิน บริษัทข้ามชาติ รวมถึงเทรดเดอร์รายย่อยจากทั่วโลกเข้ามาซื้อขายสกุลเงินระหว่างกัน เช่น คู่ยอดนิยมอย่าง EUR/USD, GBP/USD หรือ USD/JPY
ตลาดค่าเงินนี้มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ครอบคลุมศูนย์กลางทางการเงินสำคัญอย่างลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว และซิดนีย์
จุดเด่นสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราคือ
- มีสภาพคล่องสูง เปิด–ปิดออเดอร์ได้รวดเร็ว
- เทรดได้จากทุกที่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
- สามารถทำกำไรได้ทั้งช่วงราคาขึ้น (Buy/Long) และราคาลง (Sell/Short)
นอกจากนี้ ตลาดค่าเงินยังเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการเก็งกำไรระยะสั้น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการใช้กลยุทธ์การเทรดหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบแมนนวลและแบบอัตโนมัติ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งมือใหม่และมืออาชีพให้ความสนใจทั่วโลก
1. สภาพคล่องสูง (High Liquidity)
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายต่อวันระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สามารถเปิดและปิดคำสั่งเทรดได้อย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปสเปรดของคู่เงินหลักมักจะแคบ ช่วยลดต้นทุนการเทรด
2. เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง (24-Hour Market)
ตลาดค่าเงินเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ครอบคลุมรอบเวลาของศูนย์กลางการเงินหลัก เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว และซิดนีย์ เทรดเดอร์จึงสามารถเลือกเวลาเทรดได้ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
3. เข้าถึงง่าย (Easy Accessibility)
ด้วยเทคโนโลยีการเทรดออนไลน์ คุณสามารถเริ่มเทรดได้จากคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือมือถือ ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก (ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีและโบรกเกอร์)
4. โอกาสทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง
แตกต่างจากการลงทุนบางประเภท ตลาดค่าเงินเปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้ทั้งจากราคาขึ้น (Buy/Long) และราคาลง (Sell/Short) ทำให้มีความยืดหยุ่นในการออกแบบกลยุทธ์มากขึ้น
5. ใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มศักยภาพการเทรด
ตลาดนี้อนุญาตให้ใช้เลเวอเรจในการเปิดสถานะที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริง ช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง ดังนั้นจำเป็นต้องบริหารเลเวอเรจอย่างระมัดระวัง
6. ต้นทุนการเทรดต่ำ
โดยทั่วไปการซื้อขายคู่เงินมีค่าคอมมิชชั่นต่ำ หรือบางประเภทบัญชีอาจไม่มีค่าคอมมิชชั่นเลย ทำให้ต้นทุนรวมในการเทรดต่ำเมื่อเทียบกับตลาดการเงินบางประเภท
แม้เลเวอเรจจะช่วยขยายกำไร แต่ก็สามารถทำให้ขาดทุนรุนแรงได้เช่นกัน หากบริหารเงินไม่ดี อาจนำไปสู่การล้างพอร์ตได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อใช้เลเวอเรจสูงเกินไป
ตลาดค่าเงินอาจผันผวนอย่างรุนแรงจากข่าวเศรษฐกิจ การประชุมธนาคารกลาง หรือเหตุการณ์ระดับโลก เทรดเดอร์ที่ไม่ใช้คำสั่ง Stop Loss หรือตั้งความเสี่ยงสูงเกินไปย่อมเผชิญความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
การเทรดค่าเงินไม่ใช่การพนัน การขาดความรู้เรื่องกราฟ พื้นฐานเศรษฐกิจ หรือการเทรดตามอารมณ์โดยไม่มีแผนและวินัย อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างต่อเนื่องได้
เพราะตลาดเปิดแทบตลอดเวลา หลายคนจึงเทรดบ่อยเกินไป ไม่ยึดตามแผนหรือกลยุทธ์ที่วางไว้ ทำให้ผลลัพธ์โดยรวมแย่ลง แม้จะมีจังหวะที่กำไรอยู่บ้าง
ช่วงเวลาที่มีประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น NFP, CPI หรือการแถลงของ FOMC ราคามักเคลื่อนที่เร็วและรุนแรง อาจเกิด Slippage หรือสเปรดกว้างขึ้นได้
หากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจพบปัญหาเช่น รีโควต ถอนเงินล่าช้า แพลตฟอร์มล่ม หรือความปลอดภัยของเงินทุนต่ำ จึงควรเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลและมีชื่อเสียง
ตลาดซื้อขายค่าเงินทำงานคล้ายการแลกเปลี่ยนเงินตราตามธนาคารหรือร้านแลกเงิน แต่เป็นในรูปแบบออนไลน์ คุณจะซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน
ราคาของคู่สกุลเงิน (Currency Pair) แสดงให้เห็นว่า ต้องใช้สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency) กี่หน่วยในการซื้อสกุลเงินฐาน (Base Currency) หนึ่งหน่วย
ตัวอย่าง:
หากคู่เงิน GBP/USD มีราคา 1.2500 หมายความว่า 1 ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) มีค่าเท่ากับ 1.25 ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
- หากคาดว่าปอนด์จะแข็งค่า อาจเปิดสถานะซื้อ (Buy)
- หากคาดว่าจะอ่อนค่า สามารถเปิดสถานะขาย (Sell) ได้
สกุลเงินในตลาดใช้รหัสมาตรฐาน 3 ตัวอักษรตามระบบ ISO เพื่อให้ซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน เช่น

รูปที่ 1 : อินโฟกราฟิกแสดงสกุลเงินหลักของโลกและรหัส ISO เช่น USD, EUR, GBP และ JPY ที่นิยมใช้ในการซื้อขายในตลาดค่าเงิน
การเทรดค่าเงินเกี่ยวข้องกับการซื้อสกุลเงินหนึ่งพร้อมกับขายอีกสกุลเงินหนึ่งเสมอ ดังนั้นราคาจึงถูกเสนอเป็น “คู่” เช่น EUR/USD, GBP/JPY คู่เหล่านี้แสดงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงิน
คู่สกุลเงินหลักมักจะมีดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นหนึ่งในคู่ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY คู่เหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70–75% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด โดย EUR/USD มักเป็นคู่ที่มีการเทรดมากที่สุดในโลก

รูปที่ 2: แสดงตัวอย่างคู่สกุลเงินหลักและรอง เช่น EUR/USD, GBP/JPY, USD/CHF เป็นต้น
ราคาของคู่เงินแต่ละคู่ประกอบด้วยสองราคา ได้แก่
ส่วนต่างระหว่างราคาทั้งสองเรียกว่า สเปรด (Spread) ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักอย่างหนึ่งของการเทรดค่าเงิน

รูปที่ 3: อธิบายโครงสร้างคู่เงิน EUR/USD ชี้ตำแหน่ง Base และ Quote เพื่อช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
ในคู่สกุลเงิน EUR/USD:
อัตราแลกเปลี่ยนแสดงจำนวนเงินดอลลาร์สหรัฐ (สกุลเงินอ้างอิง) ที่ต้องใช้เพื่อซื้อ 1 ยูโร (สกุลเงินฐาน) เช่น หาก EUR/USD มีราคา 1.2000 หมายความว่า 1 ยูโร แลกได้ 1.20 ดอลลาร์สหรัฐ

รูปที่ 4: แสดงการเปลี่ยนแปลงราคาพร้อมเน้นตำแหน่งที่ถือเป็น 1 pip
Pip (percentage in point) คือหน่วยมาตรฐานที่ใช้วัดการเคลื่อนไหวของราคา:
ตัวอย่าง:
หาก EUR/USD ขยับจาก 1.2000 ไป 1.2001 ถือว่าเคลื่อนไหว 1 pip
รูปที่ 5: แสดงหนึ่ง Lot
Lot คือหน่วยมาตรฐานของขนาดการเทรด:
- Standard lot = 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน
- (อาจมี mini, micro, nano lot ตามเงื่อนไขโบรกเกอร์)
ขนาดล็อตมีผลโดยตรงต่อมูลค่าของ 1 pip ตัวอย่างเช่น หากเทรด EUR/USD ขนาด 1 standard lot การเคลื่อนไหว 1 pip จะมีมูลค่าประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับสถานะขาย (Short):
กำไร/ขาดทุน = (ราคาเปิด - ราคาปิด) × ขนาดล็อต × จำนวนล็อต
ตัวอย่าง
- คู่เงิน: EUR/USD
- เปิดสถานะซื้อ 1 standard lot (100,000 หน่วย) ที่ราคา 1.2000
- ปิดสถานะที่ราคา 1.2050
การคำนวณ:
(1.2050 – 1.2000) × 100,000 = กำไร 500 ดอลลาร์สหรัฐ
เลเวอเรจคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณควบคุมขนาดการเทรดที่ใหญ่กว่าทุนในบัญชี ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 30:1 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมสถานะมูลค่า 30 เท่าของเงินทุนที่มีอยู่
เลเวอเรจเป็นเหมือนดาบสองคม:
มาร์จิ้นคือเงินที่ต้องใช้เป็นหลักประกันในการเปิดสถานะที่ใช้เลเวอเรจ ทำหน้าที่คล้ายเงินค้ำประกันเพื่อให้คุณสามารถถือขนาดการเทรดที่ใหญ่กว่าทุนจริงของตนเอง
ความต้องการมาร์จิ้นเริ่มต้น = 120,000 ÷ 30 = 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ
คุณจึงต้องมีเงินอย่างน้อย 4,000 ดอลลาร์สหรัฐในบัญชีเพื่อเปิดตำแหน่งนี้
ตลาดฟอเร็กซ์หรือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นระบบการซื้อขายสกุลเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตลาดแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Market) ไม่มีศูนย์กลางซื้อขายเหมือนตลาดหุ้น ธุรกรรมส่วนใหญ่เกิดในลักษณะ Over the Counter (OTC) ระหว่างธนาคาร สถาบันการเงิน โบรกเกอร์ และเทรดเดอร์รายย่อย ผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก
ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ครอบคลุมโซนเวลาของลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว และซิดนีย์ ด้วยปริมาณการซื้อขายต่อวันมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ตลาดนี้มีสภาพคล่องสูงและเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจโลก

รูปที่ 6: แสดงการทำธุรกรรม Forex ในแต่ละวัน
ตลาด Forex สมัยใหม่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น:
ก่อนปี 1970: อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ภายใต้ข้อตกลงเบรตตัน วูดส์
ปี 1971: การเปลี่ยนไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวหลังจากการล่มสลายของเบรตตัน วูดส์
ทศวรรษ 1980-1990: การแนะนำแพลตฟอร์มการเทรดอิเล็กทรอนิกส์และการขยายการเข้าถึงของสถาบัน
ต้นทศวรรษ 2000: การแพร่หลายของโบรกเกอร์ Forex รายย่อยออนไลน์ ทำให้เทรดเดอร์รายบุคคลเข้าถึงได้
ปัจจุบัน: การเทรดด้วยอัลกอริทึมขั้นสูง แพลตฟอร์มมือถือ และการรวมกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
ตลาด Forex ในปัจจุบันเป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนซึ่งธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทลงทุน บริษัท และ เทรดเดอร์รายย่อยมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องในตลาดทั่วโลก
ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินซึ่งส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าของสกุลเงินอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือหลัก— อัตราที่สูงขึ้นโดยทั่วไปจะทำให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้นเนื่องจากดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่แสวงหาผลตอบแทนที่ดีขึ้น การผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ช่วยเพิ่มปริมาณเงิน อาจทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลง ในขณะที่การเข้มงวดเชิงปริมาณ (QT) ลดสภาพคล่อง ซึ่งมักนำไปสู่การแข็งค่าของสกุลเงิน นอกจากนี้ การให้คำแนะนำล่วงหน้า หรือการสื่อสารของธนาคารกลางเกี่ยวกับนโยบายในอนาคต สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อความคาดหวังของตลาดและการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน
ธนาคารกลางหลักที่มีอิทธิพลต่อตลาดสกุลเงินทั่วโลก ได้แก่ Federal Reserve (Fed), European Central Bank (ECB), Bank of Japan (BOJ), Bank of England (BOE) และ Swiss National Bank (SNB) เทรดเดอร์ติดตามการตัดสินใจและคำแถลงของพวกเขาอย่างใกล้ชิดเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาด
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อตลาด Forex:
ความรู้สึกของตลาดสะท้อนทัศนคติรวมของเทรดเดอร์ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาเกินกว่าข้อมูลพื้นฐาน มีบทบาทสำคัญในแนวโน้มระยะสั้นและตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยโมเมนตัม
การเข้าใจความรู้สึกของตลาดช่วยให้เทรดเดอร์ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มที่มีอยู่และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดได้
TMGM เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ชั้นนำด้านการซื้อขายหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) ในภูมิภาค APAC และได้รับรางวัลด้านคุณภาพการให้บริการและประสบการณ์เทรดของลูกค้า
- สเปรดคู่เงินหลักเริ่มต้น ต่ำมาก และมีค่าคอมมิชชั่นที่แข่งขันได้
- เลเวอเรจสูงสุดถึง 1:1000 (ขึ้นกับกฎเกณฑ์ของเขตให้บริการและประเภทบัญชี)
- สภาพคล่องลึกจากผู้ให้บริการสภาพคล่องระดับ Tier-1 หลายราย ช่วยให้การส่งคำสั่งทำได้รวดเร็ว
- ความเร็วในการประมวลผลออเดอร์เฉลี่ยต่ำกว่า 30 มิลลิวินาที ลดโอกาสเกิด Slippage
TMGM รองรับ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งสามารถใช้งานได้บน บน PC, Mac, แท็บเล็ต และมือถือ
ด้านการเรียนรู้ TMGM ยังมี:
ช่วยให้คุณติดตามข่าวและตัดสินใจเทรดบนพื้นฐานข้อมูลที่ดีขึ้น
การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทั้งความรู้ ทักษะ และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง TMGM จัดเตรียมทรัพยากรการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ เช่น
- คอร์สออนไลน์ด้านการเทรดฟอเร็กซ์ฟรี
- บัญชีทดลอง (Demo Account) พร้อมเงินเสมือนจริง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อฝึกเทรดในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีความเสี่ยง
- บทความกลยุทธ์การเทรด บทวิเคราะห์ตลาด และข่าวสารที่อัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์แล้ว TMGM มีทรัพยากรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณพัฒนาทักษะและเติบโตบนเส้นทางการเทรดของคุณ
เริ่มต้นเส้นทางการเทรดวันนี้ ลงทะเบียนเปิดบัญชี TMGM ฟรีได้เลย





